Fermi Paradox เมื่อดาวมีเป็นล้าน แล้วมนุษย์ต่างดาวหายไปไหน?
หากใครบางคนได้ลองแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าตอนกลางคืน อาจจะเคยเห็นดาวต่างๆ ในค่ำคืนอันมืดมิด แสงดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างระยิบระยับห่างออกไปหลายล้านปีแสง อาจทำให้เรานึกถึงใครบางคนหรือจับมือใครซักคนนั่งมองดาวบนฟ้าไปด้วยกัน หรือเคยคิดไหมว่า บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ สิ่งที่เรากำลังมองคือจักรวาลอันกว้างไกล อาจจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ อาศัยอยู่เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ ถ้าจักรวาลนั้นมีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริงๆ แล้ว “ทุกคนไปอยู่ไหนกันหมด” นี่คือข้อสงสัยของคุณ Enrico Fermi นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ผู้ประดิษฐ์เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์คนแรกของโลก เราเรียกข้อสงสัยนี้ว่า Fermi Paradox
เอกภพนั้นกว้างใหญ่
กาแลคซี่จำนวนมากมายในเอกภพนั้น มีการประมาณเอาไว้ว่าเมื่อรวมกันแล้ว มีจำนวนดาวมากถึง \(10^{22}\) – \(10^{24}\) นั่นหมายความว่ามันมีจำนวนเม็ดทรายบนโลกทั้งหมดรวมกันเสียอีก!
ดังนั้น เมื่อมีดาวเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ก็น่าจะมีดาวที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ (sun-like star) เยอะไปด้วย เมื่อมีดวงอาทิตย์เยอะก็น่าจะมีดาวที่มีลักษณะคล้ายโลก (Earth-like) มากตามไปด้วย ดาวที่มีลักษณะคล้ายโลกนี้จะคำนึงถึงอุณหภูมิ ที่อาจจะมีน้ำและมีความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจจะมีจำนวนมากถึง 100 ล้านล้านล้านดวง
และในจำนวนดาวคล้ายโลกทั้งหมด ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาอยู่บนดาวประมาณ 10,000 ล้านล้าน ดวง และในจำนวน 10,000 ล้านล้าน ดวง ก็น่าจะมีดาวของสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมแบบเราหรือมากกว่าเราอยู่ 100,000 ดวง
แล้วทุกคนอยู่ไหนกันหมด?
การแบ่งประเภทอารยธรรมต่างๆ
ถ้าสมมติฐานของเราถูกต้อง องค์กรที่ทำหน้าที่ในการคอยฟังสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือ SETI (Search for Extraterrestrial Intelligence) ก็น่าจะต้องตรวจจับสัญญาณหนึ่งจากดาวทั้งหมด 100,000 ดวงได้บ้างแหละ แต่ก็เงียบกริบ… ซึ่งตั้งแต่การเกิดบิ๊กแบง ก็น่าจะมีดาวคล้ายโลกเกิดก่อนดาวโลกของเราอยู่หลายล้านปี และเป็นจำนวนที่มากพอที่สิ่งมีชีวิตบนดาวนั้นน่าจะพัฒนาอารยธรรมและเทคโนโลยีนำโลกของเราไป โดยมีวิธีการหนึ่ง ชื่อว่า Kardashev scale ซึ่งมีไว้สำหรับใช้ในการแบ่งอารยธรรมหลักๆ ออกเป็น 3 แบบได้แก่
Type I
อารยธรรมมีความสามารถในการใช้พลังงานจากดาวดวงนั้น โดยมนุษย์ชาติมีความใกล้เคียงกับ Type นี้)
Type II
เริ่มเจ๋งขึ้นมาหน่อย คือ อารยธรรมสามารถควบคุมพลังงานทุกอย่างได้จากดวงอาทิตย์ของดาวดวงนั้น ซึ่งอาจจะเริ่มยากสำหรับเราพวก Type I ที่จะจินตนาการถึง
Type III
สุดยอดของทุกอย่าง คือ เราสามารถดึงพลังงานจากทั้งกาแลกซี่ได้ทั้งกาแลกซี่มาใช้
ซึ่งถ้าหากมีอารยธรรมใดก็ตามที่อยู่ใน Type III ก็จะมีความสามารถในการเดินทางข้ามดาว หรือแม้กระทั้งสร้างอารยธรรม (colonize) ของตัวเองบนดาวเคราะห์ต่างๆ ในกาแลกซี่นั้น โดยการสร้างเครื่องจักรบางอย่างขึ้นมา และใช้เวลาประมาณ 500 ปีในการสร้างดาวเคราะห์ดวงถัดไปอีก 2 ดวง และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เสมือนการแตกหน่อ โดยจะใช้เวลาทั้งหมด 3.75 ล้านปี ในการสร้างอารยธรรมของตัวเองครอบคลุมทั้งกาแลกซี่
(ภาพจาก: waitbutwhy)
จากการอธิบายมาทั้งหมดนี้ ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิใน Type III อย่างน้อยๆ ก็ 1,000 อารยธรรมแหละน่า
แล้วทุกคนอยู่ไหนกันหมด?
ยินดีต้อนรับสู่ Fermi Paradox
แน่นอนว่า Fermi Paradox นั้นยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เราทำได้เพียงแค่ อธิบายสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ เท่านั้น ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในการอธิบายว่า ทุกคนอยู่ไหนกันหมด นั้น เริ่มจากการแบ่งประเภทของคำอธิบายออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสติปัญญาเหนือกว่าเรา (Type II และ Type III)
ดาวอื่นในเอกภพก็มีสิ่งมีชีวิต แต่เนื่องจากในการกำเนิดของเอกภพนั้น มีสิ่งทีเรียกว่า The Great Filter อยู่ ซึ่งเป็นตัวกรองของอารยธรรมต่างๆ หากผ่านตัวกรองนี้ไปได้ ก็จะเกิดการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดด และมีแต่พวกเรานี่แหละที่ผ่านตัวกรองนี้มาได้ โดยสามารถแบ่งย่อยไปอีกว่า
1.1 สิ่งมีชีวิตแบบเรานั้นหายาก
หมายความว่า เราได้ก้าวผ่าน The Great Filter มาเรียบร้อย และมีสิ่งมีชีวิตที่ก้าวผ่านตัวกรองนี้มาได้น้อยมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตแบบเรานั้นหาได้ยาก
1.2 เราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ผ่านมาได้
พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ผ่าน The Great Filter มาได้ และกำลังมีวิวัฒนาการไปสู่อารยธรรมใน Type III
1.3 เรายังไม่ดีพอ
หมายความว่า พวกเรายังไม่ได้ผ่าน The Great Filter มาด้วยซ้ำ ซึ่งอนาคตของเราอาจต้องเผชิญกับภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกรอง เช่น การระเบิดของรังสีแกมม่า แผ่นดินไหว อุกกาบาต เป็นต้น
2. มีชีวิตที่มีระดับสติปัญญาเหนือกว่าเรา (Type II และ Type III) แต่มีเหตุผลที่เรายังไม่รับรู้ถึงพวกเขา
ลืมเรื่องที่พวกเรานั้นหายาก เป็นพวกแรก หรือไม่ดีพอข้างบนนั้นไป เนื่องจากคำอธิบายกลุ่มนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้น โดยสามารถแยกย่อยคำอธิบายได้ออกเป็นความเป็นไปได้ทั้งหมดดังนี้
ความเป็นไปได้ที่ 1
สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเหล่านั้นเคยมาหาโลกเราแล้ว ก่อนที่มนุษย์จะกำเนิดขึ้นมา
ความเป็นไปได้ที่ 2
กาแลคซี่ของเราได้ถูกปกครองโดยเหล่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาแล้ว เพียงแต่เราอาศัยอยู่ในชายขอบของกาแลคซี่เท่านั้น (คือเราอยู่ในส่วนที่ยังไม่เจริญนั่นเอง)
ความเป็นไปได้ที่ 3
ความคิดเรื่องการล่าอาณานิคมนั้นเชยสำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูงกว่าเรา
ความเป็นไปได้ที่ 4
มีอารยธรรมที่มีความน่ากลัว (เป็นผู้ล่า) อยู่ อารยธรรมที่ดีๆ เลยต้องปกปิดตัวเองไว้ โดยการไม่ส่งสัญญาณอะไรออกมา
ความเป็นไปได้ที่ 5
มีอารยธรรมที่สูงส่งมากเพียงอารยธรรมเดียว (ผู้ล่าเพียงหนึ่งเดียว) ซึ่งคอยกำจัดอารยธรรมที่จะก้าวขึ้นมาในระดับเดียวกัน
ความเป็นไปได้ที่ 6
มีสัญญาณส่งมาหาเราเยอะมาก แต่เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอในการตรวจจับ
ความเป็นไปได้ที่ 7
เราได้รับสัญญาณที่ส่งมา แต่รัฐบาลปกปิดไม่ให้คนทั่วไปได้รับรู้
ความเป็นไปได้ที่ 8
เราถูกเฝ้าดูอยู่โดยอารยธรรมที่สูงกว่า หรือที่เรียกกันว่า Zoo Hypothesis
ความเป็นไปได้ที่ 9
อารยธรรมที่สูงกว่าเรานั้นอยู่รอบๆ ตัวเรานี่แหละ เพียงแต่เรามีสติปัญญาไม่เพียงพอที่จะรับรู้ (คืออาจจะอยู่กันคนละมิติ)
ความเป็นไปได้ที่ 10
เราคิดผิดทั้งหมดเกี่ยวกับความเป็นจริง เราอาจเป็นเพียงแค่ Hologram หรือเราอาจจะกำลังถูกทดลองโดยใครสักคน (ออกแนว The Sims)
จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า เราอาจไม่ใช่หนึ่งเดียวในจักรวาลอย่างแน่นอน และการจะจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงกว่าเรา (Type II & III) ก็ยังเป็นเรื่องยาก จากการคำนวณโดย Carl Sagan นั้น เรายังอยู่เพียง Type ที่ 0.7 เท่านั้นgv’ ดังนั้นเรา มนุษยชาติยังต้องพบเจออะไรอีกมาก และการศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นดีใช่ไหมล่ะ
ถ้าใครมีเรื่องอยากอธิบายเพิ่มเติม สามารถ comment ได้ข้างล่างนี้เลยนะครับ
อ้างอิง: waitbutwhy