NASA ได้ทำการส่งยานอวกาศ Parker Solar Probe ออกสู่อวกาศแล้ว เมื่อเวลา 14.30 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม 2561 กับภารกิจครั้งใหม่ในการสำรวจดวงอาทิตย์ระยะใกล้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยความช่วยเหลือของจรวด Delta IV Heavy จะทำให้ยานอวกาศ Parker Solar Probe เป็นยานอวกาศที่เดินทางด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา
หลังจากที่เลื่อนกำหนดปล่อยยานจากวันที่ 11 เนื่องจากมีสัญญาณเตือนแก๊สฮีเลียมดังขึ้นที่จรวด Delta IV และวิศกรไม่สามารถตรวจสอบแก้ไขความผิดปกติได้ทันกำหนด ทำให้ต้องเลื่อนภารกิจมาเป็นวันที่ 12 สิงหาคมแทน โดยได้ปล่อยตัวออกสู่อวกาศ จากฐานปฏิบัติการ Cape Canaveral Air Force Station
7 ปีของการเดินทางสู่ดวงอาทิตย์ ด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา
150 ล้านกิโลเมตร คือ ระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ แต่ภารกิจของยาน Parker Solar Probe ในครั้งนี้ จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระยะ 6 ล้านกิโลเมตร ประกอบกับต้องบรรทุกน้ำหนักของยานที่มีน้ำหนักถึง 685 กิโลกรัม ทำให้ NASA ต้องใช้จรวด Delta IV Heavy ในการพายานอวกาศนี้ พุ่งทะยานออกสู่อวกาศ ซึ่งเมื่อรวมระยะเวลาเดินทางและภารกิจในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ จะกินระยะเวลาถึง 7 ปี แม้ความเร็วสูงสุดของยานที่คำนวณกันไว้ คือ ประมาณ 700,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เปรียบได้กับการเดินทางจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไปยังกรุงโตเกียว โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที
Parker Solar Probe กับภารกิจสำคัญในการทำความเข้าใจดวงอาทิตย์
ภารกิจสัมผัสดวงอาทิตย์ของ NASA กับยานอวกาศ Parker Solar Probe ในครั้งนี้ เรื่องใกล้ตัวพวกเรามากที่สุดคือ การทำความเข้าใจและทำนายความเสี่ยงของเหตุการณ์ เช่น ดาวเทียมสื่อสาร และนำทาง ถูกรบกวน หรือระบบการจ่ายไฟฟ้า (power grid) ล่มจากกิจกรรมของดวงอาทิตย์ได้อย่างไร เนื่องจากระบบที่ใช้ในดาวเทียม และไฟฟ้านั้น เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของดวงอาทิตย์ ทั้งการปลดปล่อยก้อนมวล CME, ลมสุริยะ และอื่นๆ ซึ่งจะมีการปล่อยอนุภาค ประจุต่างๆ ออกมารบกวนการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้นนั่นเอง
ลองคิดดูว่าโลกยุคปัจจุบัน หากไฟฟ้าใช้ไม่ได้ อินเตอร์เน็ตล่ม ระบบนำทางขัดข้อง จะเกิดผลร้ายต่อชีวิตและเกิดความโกลาหลในโลกขึ้นเพียงใด การป้องกันและทำนายเรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้ล่วงหน้า ก็ถือเป็นความคิดที่ดีและคุ้มที่จะลงทุน ใช่ไหมล่ะครับ
คลิปวีดีโอขณะ Parker Solar Probe กำลังออกจากฐานปล่อยตัว
