ทำความรู้จักฝนฟ้า ไขปัญหาพยากรณ์อากาศไทย ทำไมไม่แม่น?
นี่คือสิ่งที่คุณมักได้ยินเมื่อเปิดฟังข่าวพยากรณ์อากาศในช่วงหน้าฝน …
“ในช่วงนี้ ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ (ครบทุกภาคแล้ว) มีฝนกระจาย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมบวกกับน้ำทะเลหนุน ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันมีคลื่นจัด ส่วนฝั่งอ่าวไทยมีคลื่นปานกลาง ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง …”
ยังมีชีวิตอยู่ดีกันใช่ไหม? ก่อนที่เราจะไปรับมือกับฟ้าฝน เรามารับมือกับคำศัพท์ในพยากรณ์อากาศ พร้อมรู้สาเหตุและเตรียมพร้อมรับปรากฏการณ์ธรรมชาติในช่วงหน้าฝนกันดีกว่า
ปูพื้นฐานกันสักหน่อย
บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกของเรานั้น แม้เราจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน แต่แท้จริงแล้วมวลของแก๊สต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศ (หรืออากาศที่เราๆ ท่านๆ ใช้หายใจ) ถูกแรงดึงดูดของโลกกระทำเช่นเดียวกับวัตถุอื่น ๆ ซึ่งถ้าเราเอาน้ำหนักของอากาศที่กดทับหารด้วยพื้นที่ ก็จะได้ ค่าความกดอากาศ (air pressure) ของพื้นที่บริเวณนั้น ๆ แต่เนื่องจากอากาศเป็นของไหลและอุณหภูมิมีผลต่อความหนาแน่นของแก๊ส บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง (อากาศร้อน) อากาศจะขยายตัว ความหนาแน่นของอากาศจึงต่ำและลอยตัวสูงขึ้น บริเวณนี้จึงมีความกดอากาศต่ำ (low pressure area) ส่วนบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ (อากาศเย็น) ก็จะเกิดในทางตรงกันข้ามจึงเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศสูง (high pressure area) นั่นเอง โดยอากาศจะเคลื่อนที่จากบริเวณที่ความกดอากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า การเคลื่อนที่ของอากาศที่เกิดจากความต่างของความกดอากาศนี้เอง นำไปสู่มหกรรมอันน่าตื่นเต้น (และตื่นตระหนก) มากมาย ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างความชื้นในอากาศที่ทำให้ผ้าที่เราตากไว้ไม่แห้งไปจนถึงพายุที่พัดถล่มพื้นที่หนึ่งให้เสียหายอย่างหนักได้เลยทีเดียว!
เรื่องวุ่น ๆ ของ ร่อง กับ หย่อม
เวลาดูข่าวพยากรณ์อากาศในทีวี ก่อนที่เราจะได้ฟังสภาพอากาศบริเวณใกล้บ้านที่เราอยู่ ผู้ประกาศมักเริ่มอธิบายด้วยแผนที่โลกที่มีเส้นขยุกขยิกเต็มไปหมด มองเร็ว ๆ จะเห็นสัญลักษณ์ L และ H ซึ่งหลายคนน่าจะพอเดาความหมายกันได้ ก่อนอื่นเราไปดูหน้าตาของเจ้าสิ่งนี้กันก่อน
เราเรียกแผนภาพลักษณะนี้ว่า แผนที่อากาศ ซึ่งจะเห็นเส้นโค้งบิดไปมาหลายเส้น แต่ละเส้นเรียกว่า เส้นความกดอากาศเท่า (isobar) โดยที่แต่ละจุดบนเส้นเดียวกันจะมีความกดอากาศเท่ากัน ซึ่งความกดอากาศจะแกว่งอยู่ที่ประมาณ 1,000 เฮกโตพาสคัล (hPa) ซึ่ง 1 เฮกโตปาสคัล เท่ากับ 1 มิลลิบาร์ เท่ากับ แรงกด 100 นิวตันต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยที่แรง 1 นิวตัน เท่ากับ แรงที่ใช้ในการเคลื่อนมวล 1 กิโลกรัม ให้เกิดความเร่ง 1 เมตรต่อวินาที2 (เอ่อ… เอาเป็นว่าช่างมันก็ได้)
ทีนี้ เส้นขยุกขยิกพวกนี้บอกเราว่า บริเวณหนึ่งมีความต่างของความกดอากาศกับอีกบริเวณหนึ่งเท่าไร ซึ่งถ้าเส้นอยู่ชิดกันมาก ๆ แสดงว่าในบริเวณใกล้ ๆ กันมีความต่างความกดอากาศมาก ลมจึงพัดแรง (สังเกตตรงแถว ๆ พายุไต้ฝุ่น “ชานชาน (SHANSHAN)” และพายุโซนร้อน “ยากิ (YAGI)” ที่กำลังพัดอยู่ในทะเลจีนใต้ตามในแผนที่ก็จะเข้าใจมากขึ้น)
กลับมาที่สัญลักษณ์ L หลายคนพอจะเดาได้ว่าน่าจะมีความหมายถึง low pressure area หรือ บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ หรือหย่อมความกดอากาศต่ำ (แปลว่าอุณหภูมิสูง หรืออากาศร้อน ตั้งสติดี ๆ นะ) ส่วน H ก็หมายถึง high pressure area หรือ บริเวณที่มีความกดอากาศสูง หรือหย่อมความกดอากาศสูง (แปลว่าอุณหภูมิต่ำ หรืออากาศเย็น) อากาศตรงแถว ๆ ตัว L จะเบาและลอยตัวสูงขึ้น อากาศจากตัว H ซึ่งหนักกว่าจึงไหลเข้าไปแทนที่ แต่เพราะว่าโลกเราหมุนรอบตัวเอง อากาศที่พัดเข้าหาตัว L จึงเป๋แล้วหมุนวนรอบตัว L แทน ทีนี้ถ้าหย่อมความกดอากาศต่ำหรือตัว L มาเรียงต่อใกล้ ๆ กันเป็นแนว แปลว่า ตลอดแนวนี้จะมีความกดอากาศต่ำกว่าบริเวณอื่น จึงเรียกแนวแคบ ๆ นี้ว่า ร่องความกดอากาศต่ำ
นั่นคือ หย่อม + หย่อม + หลาย ๆ หย่อม = ร่อง นั่นเอง
ซึ่งชื่อแสนน่ารักของร่องความกดอากาศต่ำจริง ๆ คือ แนวปะทะแห่งเขตร้อน หรือ แนวลมพัดสอบในเขตร้อน (intertropical convergence zone) ส่วนไทยเราเรียกว่า ร่องมรสุม (Monsoon Trough) เมื่อมีแนวร่องมรสุมเกิดขึ้น อากาศร้อนจะพาเอาไอน้ำลอยตัวสูงขึ้นไป และรวมตัวกับอากาศที่เย็นกว่าด้านบน ท้ายสุดจึงกลั่นตัวเป็นฝนตกกลับลงมา นั่นแปลว่า บริเวณที่ร่องมรสุมพาดผ่านจะมีฝนตกหนาแน่น และหากร่องมรสุมพาดผ่านหลายวัน ฝนก็จะตกหนักมากจนเกิดน้ำท่วมได้
ทำไมหน้าฝนในไทยจึงมาไม่พร้อมกัน
หากใครจำช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553 และ 2554 (รวมทั้งปีอื่น ๆ) จะพอจำได้ว่า ช่วงที่น้ำท่วมท่อนบนของประเทศ (เหนือ-อีสาน) ชาวใต้จะยังไม่ได้รับผลกระทบจากมรสุมมากนัก และมักเป็นผู้ช่วยเหลือบริจาคสิ่งของไปให้ภาคอื่น ๆ แต่ไม่กี่เดือนต่อมา ภาคใต้ก็ต้องเผชิญมรสุมและน้ำท่วม น้ำใจจากท่อนบนของประเทศจึงส่งกลับคืนไปให้ชาวใต้อีกครั้ง (ให้มาให้กลับไม่โกง) เหตุที่เป็นลักษณะนี้เพราะว่า ร่องความกดอากาศต่ำนั้นพาดผ่านพื้นที่ของประเทศไทยต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
ตามปกติร่องความกดอากาศต่ำจะเริ่มพาดผ่านประเทศไทยบริเวณภาคใต้ตั้งแต่เดือนเมษายน (กลางหน้าร้อน) จากนั้นจะเคลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกในเดือนพฤษภาคม ตามด้วยภาคเหนือและภาคอีสานในเดือนมิถุนายน สาเหตุที่เคลื่อนขึ้นไปเนื่องจากตำแหน่งดวงอาทิตย์เคลื่อนที่อ้อมขึ้นไปทางเหนือ (จริง ๆ คือโลกเอียงเอาซีกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์) ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ลมหนาวจากจีน) มีกำลังอ่อนกว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดีย ช่วงเวลานี้ร่องความกดอากาศจะมีกำลังไม่แรงมาก อาจเกิดฝนได้บ้างแต่ไม่ต่อเนื่องยาวนาน
จากนั้นในปลายเดือนมิถุนายน ร่องความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนขึ้นไปพาดผ่านบริเวณทะเลจีนใต้ (เลยประเทศไทยขึ้นไป) ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง อาจกินเวลา 1-2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ปริมาณฝนจะน้อยมากและอากาศจะค่อนข้างร้อน (วันที่ 21-22 มิถุนายน คือวันที่ซีกโลกเหนือมีกลางวันยาวนานมากที่สุด)
เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนสิงหาคม ร่องความกดอากาศต่ำจะเปลี่ยนใจเคลื่อนกลับลงมา (ความเป็นจริงคือโลกกำลังค่อย ๆ หันซีกโลกใต้เข้าหาดวงอาทิตย์ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์จึงค่อย ๆ เคลื่อนอ้อมลงไปทางใต้) โดยร่องความกดอากาศต่ำที่มีกำลังแรงจะค่อย ๆ พาดผ่านจากภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ตามลำดับ กินเวลาราว 4 เดือน ทำให้ประเทศไทยเกิดฝนตกชุกทางตอนบนในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน และภาคใต้จะเริ่มมีฝนช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน จึงเป็นสาเหตุที่ฤดูฝนของบ้านเราเกิดขึ้นไม่ตรงกันนั่นเอง
จากนี้เมื่อเราได้ยินผู้ประกาศข่าวกล่าวถึงร่องความกดอากาศต่ำ และอิทธิพลจากมรสุมต่าง ๆ ก็น่าจะพอทำความเข้าใจและทำนายเหตุการณ์หลังจากนั้นได้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว ต่อไปเรามารู้จักกับส่วนของคำพยากรณ์หลังจากเรื่องร่องมรสุมนั่นก็คือ “ฝน” กันดีกว่า
ท้องฟ้ามีเมฆมาก กับมีฝนตกหนักบางแห่ง?
เวลาฟังนักข่าวรายงานสภาพอากาศมักมีคำบรรยายลักษณะอากาศต่างกันไปในแต่ละวัน บางคำก็ฟังเข้าใจง่าย บางคำก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกแค่ไหน วันนี้จะซักผ้าดีไหม ถ้าล้างรถเสร็จแล้วฝนตกลงมาคงแย่ วันนี้เราจึงมีหลักการใช้คำอธิบายสภาพฟ้าฝนมาเล่าสู่ให้ฟังกัน
ปริมาณเมฆ
ในช่วงฤดูที่ฝนตกไม่ชุกนัก คำพยากรณ์มักอธิบายลักษณะอากาศเกี่ยวกับความแจ่มใสของท้องฟ้าและกระแสลม วันไหนที่เราได้ยินคำว่า “วันนี้อากาศแจ่มใส เมฆน้อย ลมสงบ” ก็น่าจะเป็นวันดีที่จะออกไปข้างนอกบ้านได้อย่างสบายใจ (ส่วนจะแม่นแค่ไหนเผื่อใจไว้อ่านหัวข้อถัดไปด้วยนะ)
นักอุตุนิยมวิทยาใช้เกณฑ์ในการอธิบายปริมาณเมฆในท้องฟ้าโดยแบ่งพื้นที่บนท้องฟ้าเป็น 10 ส่วน (บางตำราอาจไม่ถึง 10 ก็ได้) แต่ละส่วนมีเกณฑ์และมีความหมายดังนี้
ท้องฟ้าแจ่มใส (fine) | ไม่มีเมฆ หรือมีน้อยกว่า 1 ส่วน |
ท้องฟ้าโปร่ง (fair) | 1 ส่วนถึง 3 ส่วน |
เมฆบางส่วน (partly cloudy) | เกิน 3 ส่วนถึง 5 ส่วน |
เมฆเป็นส่วนมาก (cloudy) | เกิน 5 ส่วนถึง 8 ส่วน |
เมฆมาก (very cloudy) | เกิน 8 ส่วนถึง 9 ส่วน |
เมฆเต็มท้องฟ้า (overcast) | เกิน 9 ส่วนถึง 10 ส่วน |
ความเร็วลม
การวัดความเร็วลมจะวัดที่ความเร็วลมผิวพื้นที่ระดับความสูงมาตรฐาน 10 เมตรเหนือพื้นดินในบริเวณที่โล่งแจ้ง ซึ่งเครื่องมือวัดความเร็วลมเรียกว่า อะนีมอมิเตอร์ (anemometer) ซึ่งมีหลายชนิดอย่างเช่น แบบใบพัด แบบกังหัน หรือแบบถ้วยกลม 3 ก้าน และใช้ศรลมบอกทิศทางลม โดยเกณฑ์การบอกความเร็วลมมีดังนี้
ลมสงบ (calm) | ลมเงียบ ควันลอยขึ้นตรง | น้อยกว่า 1 กม./ชม. |
ลมเบา (light air) | ควันลอยตามลม ศรลมอยู่นิ่ง | 1-5 กม./ชม. |
ลมอ่อน (light breeze) | รู้สึกลมพัดที่ใบหน้า ใบไม้แกว่งไกว ศรลมหันตามทิศลม | 6-10 กม./ชม. |
ลมโชย (gentle breeze) | ใบไม้และกิ่งไม้เล็ก ๆ กระดิก ธงปลิว | 12-19 กม./ชม. |
ลมปานกลาง (moderate breeze) | มีฝุ่นตลบ กระดาษปลิว กิ่งไม้เล็กไหว | 20-28 กม./ชม. |
ลมแรง (fresh breeze) | ต้นไม้เล็กแกว่งไกวไปมา มีระลอกน้ำ | 29-38 กม./ชม. |
ลมจัด (strong breeze) | กิ่งไม้ใหญ่ไหว ได้ยินเสียงหวีดหวิว กางร่มลำบาก | 39-49 กม./ชม. |
พายุเกลอ่อน (near gale) | ต้นไม้ใหญ่แกว่งไกว เดินทวนลมลำบาก | 50-61 กม./ชม. |
พายุเกล (gale) | กิ่งไม้หัก ลมต้านการเดิน | 62-74 กม./ชม. |
พายุเกลแรง (strong gale) | อาคารไม่มั่นคงหักพัง หลังคาหลุดปลิว | 75-88 กม./ชม. |
พายุ (storm) | ต้นไม้ถอนรากล้ม เกิดความเสียหาย | 89-102 กม./ชม. |
พายุใหญ่ (violent storm) | เกิดความเสียหายทั่วไป | 103-117 กม./ชม. |
พายุไต้ฝุ่นหรือเฮอร์ริเคน | เกิดความเสียหายทั่วไป | มากกว่า 117 กม./ชม. |
ปริมาณน้ำฝน
สำหรับปริมาณน้ำฝนนั้น ใช้เกณฑ์การวัดจากความสูงของน้ำฝนที่วัดจากเครื่องวัด ซึ่งจะบอกจำนวนน้ำฝนที่ตกระยะเวลา 24 ชั่วโมง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรดังนี้
ฝนวัดจำนวนไม่ได้ (trace) | น้อยกว่า 0.1 มม. |
ฝนเล็กน้อย (slight) | 0.1 ถึง 10.0 มม. |
ฝนปานกลาง (moderate) | 10.1 ถึง 35.0 มม. |
ฝนหนัก (heavy) | 35.1 ถึง 90.0 มม. |
ฝนหนักมาก (very heavy) | 90.1 มม. ขึ้นไป |
ส่วน ฝนฟ้าคะนอง (thundery rain) หมายถึง ฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ เบา-แรงสลับกัน มักมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ลมกรรโชกแรง (ลมแรงมาก ๆ) อาจหมายรวมถึงมีลูกเห็บตกร่วมด้วย ฝนฟ้าคะนองมักเกิดขึ้นในระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง แต่อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้
การกระจายของฝน
นอกจากคำพยากรณ์จะบอกปริมาณฝนที่จะตกแล้ว มักบอกอาณาบริเวณพื้นที่ ๆ คาดว่าฝนจะตกด้วยว่าจะครอบคลุมพื้นที่อ้างอิงนั้น ๆ เท่าใด โดยบอกเป็นร้อยละของพิ้นที่ตามเกณฑ์ดังนี้
บางแห่ง หรือบางพื้นที่ (isolated) | ไม่เกิน 20% ของพื้นที่ |
เป็นแห่ง ๆ (widely scattered) | เกิน 20% แต่ไม่ถึง 40% ของพื้นที่ |
กระจาย (scattered) | เกิน 40% แต่ไม่ถึง 60% ของพื้นที่ |
เกือบทั่วไป (almost widespread) | เกิน 60% แต่ไม่ถึง 80% ของพื้นที่ |
ทั่วไป (widespread) | เกิน 80% ของพื้นที่ |
ภาวะน้ำท่วม
ในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะฤดูน้ำหลาก (ช่วงที่ฝนตกชุก –หรือฝนตกหนักมากๆนั่นแหละ) คำที่พ่วงท้ายการบรรยายลักษณะฝนที่จะตกมักตามมาด้วยคำเตือนให้ระวังภัยจากน้ำท่วม ซึ่งด้วยสภาพแตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ เช่น บนภูเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ชายฝั่ง ก็เกิดภัยน้ำท่วมได้จากต่างสาเหตุกัน ต่อไปนี้คือคำที่คุณมักได้ยิน และมันอาจเกิดขึ้นจริงข้าง ๆ บ้านคุณก็ได้
- น้ำท่วมขัง หรือน้ำท่วมจากฝนตกหนัก (rainwater flood) เกิดขึ้นในภาวะที่ฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ผิวดินอุ้มน้ำไว้ถึงขีดสุด ส่วนในเมืองก็มักเกิดจากปัญหาท่อระบายน้ำอุดตันหรือมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ท้ายสุดจึงเกิดน้ำท่วมในพื้นที่และขังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง (ใครจะเรียกว่า น้ำรอการระบาย ก็แล้วแต่) ซึ่งน้ำท่วมในลักษณะนี้มักคลี่คลายในเวลาไม่นาน (ถ้าไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มน่ะนะ)
- น้ำล้นตลิ่ง (river flood) มักเกิดในพื้นที่ติดริมแม่น้ำโดยเฉพาะพื้นที่ราบลุ่มปลายแม่น้ำ (ภาคกลาง) ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำทะเลหนุน (high tide) เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงแถว ๆ วันขึ้น 15 ค่ำ (ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ในแนวตรงข้ามกัน) เมื่อรวมกับปริมาณน้ำจากภาคเหนือที่ไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักจึงเกิดภาวะน้ำล้นแนวตลิ่งและท่วมขังบ้านเรือนริมแม่น้ำได้ ซึ่งอาจกินเวลาหลายวันจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
- น้ำท่วมฉับพลัน (flash flood) มักเกิดขึ้นในที่ราบเชิงเขา (ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตก และภาคใต้ตอนบน) เกิดจากน้ำฝนที่ตกหนักบนยอดเขาและสะสมอยู่นานเป็นเวลาหนึ่ง เมื่อพื้นดินและป่าไม้ (ที่ไม่ค่อยเหลือแล้ว) รับน้ำไว้ไม่ไหว มวลน้ำจึงหลากลงจากภูเขาสูง พัดเอาดินโคลน หินภูเขา ต้นไม้ รวมทั้งท่อนซุง (มีได้ยังไง?) เข้าซัดพื้นที่ราบที่ต่ำกว่า เรียกว่า น้ำป่าไหลหลาก เราจึงมักได้ยินคู่กันว่า “น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก” ซึ่งน้ำท่วมลักษณะนี้จะมาแรงและมาเร็ว ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนเป็นจำนวนมาก
- น้ำท่วมชายฝั่ง หรือคลื่นพายุซัดฝั่ง (storm serge flood) เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งทะเลในฤดูมรสุม และจะรุนแรงหากเกิดพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้ามาด้วย อิทธิพลของพายุจะทำให้ฝนตกหนักและลมกรรโชกแรง พัดให้ทะเลมีคลื่นสูง ชาวเรือที่ใช้ชีวิตชายฝั่งจึงประสบกับน้ำท่วม ทำลายบ้านเรือนรวมทั้งเครื่องมือหากิน เหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่น่าจะคุ้นกันอย่างเช่น เหตุกาณ์น้ำท่วมชายฝั่งและวาตภัย บริเวณแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดจากอิทธิพลพายุโซนร้อนแฮเรียต เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่าพันคน
- คลื่นยักษ์สึนามิ (tsunami) เราน่าจะคุ้นชื่อกันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อปี 2547 (ดูข้อมูลเหตุการณ์สึนามิในประเทศไทยจากบทความของผมเองได้ที่นี่) มีสาเหตุจากแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด เกิดมวลคลื่นที่มีกำลังมหาศาลพัดเข้าชายฝั่งอย่างรุนแรง สร้างผลกระทบและอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างใหญ่หลวง ซึ่งหลังจากสึนามิเมื่อปี 2547 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้พัฒนาระบบเตือนภัยสึนามิให้ดีขึ้น ร่วมกับการรับข้อมูลจากระบบเตือนภัยในประเทศภูมิภาค สำหรับระบบเตือนภัยสึนามิของไทย ประกอบด้วยฐานเก็บบันทึกข้อมูลใต้ทะเลและทุ่นลอยส่งสัญญาณผิวทะเล มีชื่อว่า DART ซึ่งย่อมาจาก Deep Ocean Assessment and Reporting of Tsunami System
ทะเลมีคลื่นสูงเรือเล็กควรลดออกจากฝั่ง
นอกจากคนพื้นที่ราบอย่างเรา ๆ จะต้องการรู้ข้อมูลพยากรณ์อากาศแล้ว ชาวเรือริมชายฝั่งซึ่งต้องใช้ชีวิตร่วมกับคลื่นลมยิ่งต้องอาศัยพยากรณ์อากาศสำหรับชายฝั่งอย่างยิ่ง เพราะขืนออกเรือไปแล้วเจอมรสุม (หรือเลวร้ายถึงขั้นพายุ) กลางทะเลล่ะก็ หายนะมาเยือนแน่ ๆ และนี่คือคำศัพท์ที่ใช้อธิบายสภาพคลื่นลมในทะเลที่เราอาจได้ยิน
ทะเลสงบ (calm) | คลื่นสูงไม่เกิน 0.1 เมตร |
ทะเลเรียบ (smooth) | คลื่นสูงกว่า 0.1 ถึง 0.5 เมตร |
ทะเลมีคลื่นเล็กน้อย (slight) | คลื่นสูงกว่า 0.5 ถึง 1.25 เมตร |
ทะเลมีคลื่นปานกลาง (moderate) | คลื่นสูงกว่า 1.25 ถึง 2.5 เมตร |
ทะเลมีคลื่นจัด (rough) | คลื่นสูงกว่า 2.5 ถึง 4 เมตร |
ทะเลมีคลื่นจัดมาก (very rough) | คลื่นสูงกว่า 4 ถึง 6 เมตร |
ทะเลมีคลื่นใหญ่ (high) | คลื่นสูงกว่า 6 ถึง 9 เมตร |
ทะเลมีคลื่นใหญ่มาก (very high) | คลื่นสูงกว่า 9 ถึง 14 เมตร |
ทะเลเป็นบ้า (phenomenal) | คลื่นสูงกว่า 14 เมตรขึ้นไป |
โดยปกติ ในรายงานสภาพอากาศมักรายงานเป็นความสูงของคลื่นเป็นตัวเลขไปเลยเพื่อความชัดเจนและถูกต้อง ส่วนใหญ่แล้วหากคลื่นทะเลสูงกว่า 2 เมตร มักมีประกาศให้ชาวเรือระมัดระวังการเดินเรือ และหากคลื่นสูงเกินกว่า 3 เมตร มักประกาศให้เรือเล็กงดออกจากฝั่ง ซึ่งเป็นคำที่เรามักได้ยินจนคุ้นชินกันนั่นเอง
ถึงอยากจะออกไปแตะขอบฟ้า แต่ขืนฝ่าออกไป นอกจากโชคชะตาจะไม่เข้าใจ ดวงชะตาจะขาดก็ได้ เชื่อประกาศเตือนของกรมอุตุฯเถอะนะ
กว่าจะมาเป็นคำพยากรณ์
อธิบายเรื่องเมฆฝนลมฟ้าอากาศมาก็นาน ถึงเวลาตัวเอกของเราสักที นั่นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำพยากรณ์และวิเคราะห์สภาพฝนฟ้าอากาศ แล้วรายงานให้เรารู้ทุกวัน นั่นก็คือ กรมอุตุนิยมวิทยา (Thai Meteorological Department) หน่วยงานสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย คอยทำหน้าที่ในการพยากรณ์อากาศ (weather forecast) รายงานปรากฏการณ์ธรรมชาติ รวมทั้งออกประกาศเตือนต่าง ๆ (ในต่างประเทศก็มีหน่วยงานทำหน้าที่นี้ของตัวเอง เช่น NOAA หรือ National Oceanic and Atmospheric Administration ของสหรัฐอเมริกา ที่สามารถรายงานพยากรณ์อากาศและแจ้งเตือนภาวะฉุกเฉินตรงไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนได้ทันทีด้วยนะ) สำหรับกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย มีหน่วยงานภายใต้กำกับดูแลหลายหน่วยงานด้วยกัน ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกวันนั่นก็คือ สำนักพยากรณ์อากาศ ที่ทำหน้าที่รายงานพยากรณ์อากาศประจำวันและพยากรณ์อากาศในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึงให้เราทราบกันนั่นเอง
แม่นไม่แม่นต้องลองเสี่ยงดวงดูสักนิด
หลายคนคิดว่าการพยากรณ์อากาศของบ้านเราแม่นบ้าง มั่วบ้าง จนกลายเป็นว่านักอุตุนิยมวิทยากลายเป็นหมอดูอากาศไปซะอย่างงั้น แท้จริงแล้วกรมอุตุนิยมวิทยาโดยเฉพาะสำนักพยากรณ์อากาศนั้นทำงานกันทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบว่าการทำงานด้านอุตุนิยมวิทยาของไทย (รวมถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย) ต้องทำการตรวจสภาวะอากาศตามช่วงเวลาต่าง ๆ เสร็จแล้วจึงส่งต่อข้อมูลไปยังผู้เชี่ยวชาญเพื่อแปลความหมายและวิเคราะห์ผล จากนั้นจึงออกประกาศเป็นคำพยากรณ์ให้พวกเราทราบกัน
เมื่อได้แผนที่อากาศ ณ เวลาปัจจุบันแล้ว นักอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอากาศ โดยใช้หลักการทางฟิสิกส์และสถิติ เรียกว่า การพยากรณ์เชิงวัตถุวิสัย (objective forecast) ร่วมกับทักษะและประสบการณ์อันยาวนานของผู้พยากรณ์ เรียกว่า การพยากรณ์เชิงจิตวิสัย (subjective forecast) จากนั้นจึงออกคำพยากรณ์ของแต่ละพื้นที่และแต่ละช่วงเวลา แล้วส่งไปยังหน่วยงานเผยแพร่และสื่อมวลชนต่อไป
พูดอย่างติดตลกก็คือพยากรณ์อากาศนั้นใช้
หลักการ ผสมกับ หลักกู นั่นเอง
มาสู่คำถามสำคัญ ทำไมยังไม่แม่น?
หลาย ๆ คนคงเคยเปรียบเทียบระบบทำนายสภาพอากาศของต่างประเทศว่าแม่นยำ และครหาการทำนายสภาพอากาศของประเทศไทย อันที่จริงก็ต้องยอมรับว่า การพยากรณ์อากาศของประเทศใหญ่ ๆ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในละติจูดสูง ๆ นั้นแม่นกว่าประเทศไทยจริง ๆ เหตุผลก็เพราะว่าประเทศแถบนั้นอยู่ในระบบลมฟ้าอากาศระบบใหญ่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของมวลอากาศก็สามารถตรวจพบและทำนายได้ง่าย อีกทั้งความทัดเทียมของงานวิจัยรวมทั้งอุปกรณ์ตรวจจับสภาวะอากาศนั้นก็มีมากกว่าเรามาก ในขณะที่บ้านเราซึ่งเป็นประเทศเขตร้อน การเปลี่ยนแปลงของมวลอากาศเกิดขึ้นในพื้นที่เล็ก ๆ แคบ ๆ มีตัวแปรเพิ่มเติมนอกจากการเคลื่อนที่ของมวลอากาศอีกหลายอย่าง ทั้งทิศทางลม ความชื้นจากทะเล รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศ จึงเป็นไปได้ยากที่จะพยากรณ์ได้ชัดเจนแม่นยำว่าฝนจะตกที่ใด เวลาไหน (ให้คุกกี้ทำนายก็ไม่แม่น) อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยมีอุปกรณ์และเครื่องมือรายงานสภาพอากาศที่ทันสมัยมากพอที่จะสามารถทำนายสภาพอากาศได้แม่นยำถึง 80% และจะพัฒนาให้สามารถลงรายละเอียดการคาดการณ์สภาวะอากาศให้แม่นยำถึงระดับอำเภอทั่วทั้งประเทศภายในปีสองปีนี้
ติดตามสภาพอากาศไทยจากที่ไหนได้บ้าง?
เราคงคุ้นชินการฟังพยากรณ์อากาศตามช่วงข่าวในโทรทัศน์ วิทยุ หรือในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งส่วนมากจะมีระยะการพยากรณ์ประมาณ 6-24 ชั่วโมงข้างหน้า ทำให้ประชาชนอย่างเรา ๆ คาดเดาหรือเตรียมรับมือกับสภาพอากาศได้ไม่แน่นอนนัก ที่จริงแล้วเราสามารถติดตามรายงานสภาพอากาศได้จากหลากหลายช่องทาง ซึ่งให้ข้อมูลสภาพอากาศ ณ ปัจจุบัน (realtime) (หรืออย่างน้อยก็ระดับ 1-3 ชั่วโมง) โดยสามารถเช็คสภาพอากาศได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ได้เลย
- พยากรณ์อากาศประจำวัน โดยกรมอุตุนิยมวิทยา https://www.tmd.go.th/daily_forecast.php หรือสายด่วน 1182
- เรดาร์ตรวจอากาศ (ดูปริมาณกลุ่มฝนตามพื้นที่ เลือกดูเรดาร์ตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทั่วประเทศ) http://weather.tmd.go.th
- ทวิตเตอร์รายงานสภาพอากาศและเฝ้าระวังน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล https://twitter.com/BKK_BEST
แม้ว่าเรื่องฝนฟ้าอากาศจะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเหล่านี้ ย่อมสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้