ไข้หวัดใหญ่ เพชรฆาตเงียบใกล้ตัว เราจะหายจากมันได้อย่างไร
รู้มั้ย เราสูญเสียไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่า “ไข้หวัดใหญ่ ซื้อยามากินเองก็ได้ นอนพักแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย” … แม้จะเป็นโรคใกล้ตัว ที่เกือบทุกคนที่อ่านบทความนี้อยู่เคยเป็นมาแล้ว แต่ก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยล้านชีวิต ที่ต้องเสียไปให้กับโรคใกล้ตัวโรคนี้ ตั้งแต่ในปี 1918 ไข้หวัดใหญ่ ไม่ใช่โรคภัยตามฤดูกาลธรรมดาๆ อีกต่อไป เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้วิวัฒนาการตัวเองจนก่อโรคไข้หวัดสเปน และระบาดอย่างรุนแรงในยุโรป มีคนตายมากถึง 70 ล้านคน! จากวันนั้นเป็นต้นมา ไข้หวัดใหญ่ก็ไม่เคยหยุดสร้างเซอร์ไพรส์ช็อกโลกอีกเลย หูว! ฟังดูน่ากลัวจัง แล้วไวรัสมหาภัยนี้มันเกิดสร้างเซอร์ไพรส์เป็นโรคระบาดพวกนี้ได้ยังไง จะเกิดโรคระบาดอีกเมื่อไหร่ และเราจะรับมือยังไง วันนี้เราจะมาไขปริศนาของเพชรฆาตเงียบใกล้ตัวตัวนี้กัน
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ คืออะไร
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือ Influenza Virus ชื่อก็บอกแล้วว่า มันจะก่อโรคอะไรอื่นไม่ได้ นอกจาก ไข้หวัดใหญ่ นั่นเอง แต่มีอยู่หลายชนิดมาก จึงจำแนกออกเป็นกลุ่มย่อยๆตามแหล่งระบาด โดยไวรัสที่ระบาดในคนคือ กลุ่ม A และ B โดยไวรัสที่ก่อไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดรุนแรงมากกว่าคือกลุ่ม A ซึ่งจะจำแนกลงไปได้อีกด้วยระบบ H/N ซึ่งมีแอนติเจน 2 ชนิดบนผิว พูดง่ายๆคือ เหมือนไวรัสใส่เสื้อกับกางเกงอยู่ เสื้อก็คือ Hemagglutinin Antigen (HA) และ กางเกงคือ Neuraminidase Antigen (NA)
สำหรับ Influenza Type A จะมีเสื้อ (HA) อยู่ 15 สี คือสี H1-H15 และมีกางเกง (NA) มีอยู่ 9 สีคือ N1-N9 ในการระบุชนิดของไวรัสใน Type A นี้ จะเขียนด้วยเสื้อกับกางเกงที่ห้อยเลขบอกสี เช่น A-H3N2 หมายถึงไวรัสกลุ่ม A ที่มี เสื้อ (HA) สีที่ 3 และ มีกางเกง(NA) สีที่ 2 ถ้าเราลองจับคู่เสื้อ-กางเกงไปเรื่อยๆ จะได้ว่ามีทั้งหมด 135 สายพันธุ์เลยทีเดียว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ มีการระบาดเป็นโรคต่างๆไปแล้ว เพียงไม่กี่สิบสายพันธุ์เท่านั้น อ่าว? แล้วทำไมถึงมีไข้หวัดใหญ่หลายชนิดมาก นั่นเป็นเพราะไวรัสสายพันธุ์เดิมสามารถกลายพันธุ์ได้! อธิบายง่ายๆคือไวรัสสามารถปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากยาที่มาฆ่ามันได้ และเมื่อมันรอด มันจะอัพเกรดตัวเองเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงในการระบาดมากขึ้น เรียกว่า เกิดโรคอุบัติซ้ำ
แต่ไวรัสบางชนิดมีความสามารถล้ำกว่านั้น! มันสามารถแลกเปลี่ยนหรือรวมสารพันธุกรรม/แอนติเจนกับไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ พูดง่ายๆคือจับคู่ H/N เป็นสายพันธุ์ใหม่ออกมา เกิดเป็นโรคที่ทั้งระบาดรุนแรงและมีลักษณะอาการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เรียกว่า เกิดโรคอุบัติใหม่ ซึ่งโรคอุบัติใหม่นี้จะสร้างความวุ่นวายให้กับโลกนี้มาก เพราะจะไม่มีวิธีรักษา ไม่มียารักษาและไม่มีวัคซีนป้องกันใดๆเลย ประกอบกับการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น ทำให้โรคระบาดได้เร็วมากขึ้นและสามารถแพร่กระจายได้ทุกที่ในโลกที่มีสนามบิน มีถนนไปถึง หรือเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนแออัด เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดระบาดผ่านอากาศ เพียงแค่ผู้ป่วยมีการไอในที่ที่มีคนหนาแน่น ไวรัสก็สามารถแพร่สู่ทุกคนในบริเวณนั้นได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นหน้าที่ของแพทย์และนักจุลชีววิทยาที่จะต้องรีบหาแนวทางรักษาและคิดค้นยา/วัคซีนให้ได้เร็วที่สุด เพื่อหยุดการระบาดนั่นเอง
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ไข้หวัดใหญ่
อาการของไข้หวัดใหญ่ สังเกตได้ไม่ยาก แม้สายพันธุ์ต่างๆจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ทุกสายพันธุ์จะมีอาการเริ่มต้นเหมือนกัน คือเป็นอาการพื้นฐานของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปกติ ได้แก่ ช่วงแรกจะไอ เจ็บคอ มีน้ำมูกและเสมหะ ระคายคอมาก จากนั้น 1-2 วันอาการจะรุนแรงขึ้นมาก ปวดหัวรุนแรง มีไข้สูง ปวดตามข้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้องหรือชักได้ในบางกรณี จากนั้น ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆที่ไม่ใช่ไข้หวัดใหย่ตามฤดูกาล จะแสดงอาการเฉพาะมากขึ้น เช่นปอดติดเชื้อ ท้องร่วง ฯลฯ ซึ่งอาการระดับนี้ หากเราปล่อยไว้ หรือซื้อยามาทานเองโดยไม่ไปหาหมอ จะทำให้อาการทรุดมากขึ้นจนเสียชีวิตได้
จะหายจาก ไข้หวัดใหญ่ ได้อย่างไร
หากเจ็บคอ ไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อปวดข้อ คลื่นไส้ แล้ว อย่าเสียดายเงินหรือห่วงงานอยู่เลย รีบไปหาหมอเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน เพราะแม้ว่าวินิจฉัยออกมาจะไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ก็จะเป็นโรคอื่นที่รุนแรงไม่แพ้กันแน่นอน เมื่อถึงโรงพยาบาล สิ่งแรกที่คุณหมอจะทำหลังตรวจอาการเสร็จแล้วคือการ Swab Test โดยการแหย่ก้านสำลีเข้าไปในจมูกแล้วเขี่ยเอาน้ำมูกข้างในมาเพาะเชื้อเพื่อดูว่ามีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือไม่ (ตอนแหย่นี่ ซี้ดถึงสมองเลยแหละครับ เหอะๆ) ถ้าเกิดมีเชื้อจริง แพทย์จะจ่ายยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนก็จ่ายยาเหมือนกัน ซึ่งตัวที่ใช้กันมากที่สุดคือ ยา Tamiflu (อันนี้เป็นชื่อการค้านะครับ) เป็นตัวยา Oseltamivir จะออกฤทธิ์ทำให้ไวรัสไม่สามารถจำลองตัวเอง (หรือ ออกลูกออกหลานนั่นเอง) ในร่างกายเราได้ และเมื่อเราทานยารักษาตามอาการ ไวรัสก็จะค่อยๆตายไปในที่สุด และแน่นอนว่า Tamiflu เป็นยาควบคุม หาซื้อตามท้องตลาดไม่ได้ ดังนั้นถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วไม่ไปโรงพยาบาล จะไม่มียารักษาที่ตรงเหตุนะครับ
เป็นไข้หวัดใหญ่ จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลไหม
เป็นคำถามที่พบบ่อยมาก ทั้งในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เอง และโรคอื่นๆเช่น ไข้เลือดออก เพราะความรู้สึกคนส่วนใหญ่คือ ป่วยหนักขนาดนี้ยังจะให้กลับบ้านอีกเรอะ! ควรจะนอนโรงพยาบาลไปเลย แต่ความจริงแล้ว หากแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยไม่ได้มีอาการรุนแรงมากจริงๆจนต้องได้รับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ / ไม่ใช่เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ และไม่ได้เป็นสายพันธุ์เฝ้าระวัง เช่นไข้หวัดนก แพทย์มักจะจ่ายยาและให้ผู้ป่วยไปนอนพักที่บ้าน ทั้งนี้มีข้อดีคือ ผู้ป่วยจะไม่พ่นเชื้อใส่คนอื่นในโรงพยาบาลและไม่ต้องรับเชื้อในโรงพยาบาลมาติดตัวเองซ้ำซ้อน อีกทั้งยังเป็นการเผื่อห้องในโรงพยาบาลไว้ให้ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินอีกด้วย ดังนั้น ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์นะครับ
ทำยังไงถึงจะไม่เป็น ไข้หวัดใหญ่
การป้องกันด้วยวิธีทางกายภาพเมื่อมีการระบาดเกิดขึ้น ทำได้โดย การสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งจะป้องกันไม่ให้คนอื่นติดเชื้อเราและป้องกันเราติดเชื้อจากคนอื่นได้ด้วย, ล้างมือบ่อยๆ ใช้สบู่หรือแอลกอฮอล์เจลเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วย โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร และหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด มีคนพลุกพล่าน เช่นห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้า
ส่วนวิธีป้องกันทางชีวภาพ ซึ่งต้องทำตั้งแต่ยังไม่เกิดการระบาด คือการฉีดวัคซีน (แต่บางโรคก็ยังไม่มีวัคซีนนะครับ) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเรารู้จักเชื้อโรคนั้นๆและสร้างภูมิคุ้มกันไว้ เมื่อเราติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หากเป็นเชื้อที่ตรงกับวัคซีนพอดี ร่างกายเราจะต่อต้านไว้ทำให้เราไม่ป่วย หรือถ้าเป็นสายพันธุ์อื่นที่ไม่ตรงวัคซีน อาการที่พบเมื่อติดเชื้อจะเบากว่าและหายเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน
แล้วไวรัสไข้หวัดใหญ่จะกลายพันธุ์ หรือ ก่อโรคระบาดอีกเมื่อไหร่
ทุกวันนี้ การวิวัฒนาการหรือกลายพันธุ์ ไม่เพียงแต่ไวรัส แต่รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตลอดจนพวกเราเอง ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เรารู้เพียงแต่ว่า การกลายพันธุ์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในยีนของเราตลอดเวลาและรอคอยวันที่จะแสดงออกมา ไม่ในชีวิตนี้ ก็ในรุ่นลูกรุ่นหลานที่มันถูกส่งผ่านไป ในไวรัสก็เช่นกัน การวิวัฒนาการเกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อมีเวลาและสิ่งแวดล้อมเหมาะสม มันก็พร้อมจะสร้างความวุ่นวายผ่านโรคระบาดใหม่ๆขึ้นมา สิ่งที่ดีที่สุดคือการรู้จักมันให้มากที่สุดเพื่อเตรียมการสำหรับอนาคต และนี่คือหน้าที่ของ นักจุลชีววิทยา และ นักพันธุศาสตร์
แต่ถึงแม้ว่า เราจะมีทั้งวัคซีนและยาต้านไวรัสไว้รักษาแล้ว แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ การระมัดระวังไม่ให้เราป่วย ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ล้างมือเป็นประจำและดูแลสุขภาพตัวเอง จะทำให้เราห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่เพียงแต่ไข้หวัดใหญ่แต่รวมถึงโรคอื่นๆอีกด้วย
เราไม่สามารถรู้ได้ว่า โรคระบาดจะมีขึ้นเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าไวรัสจะเล่นอะไรกับโลกใบนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการรู้จักมันให้มากที่สุด และเตรียมการอยู่เสมอ เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่มีแต่ธรรมชาติและผู้สร้างธรรมชาติเท่านั้นที่รู้ เราจะพร้อมที่จะเริ่มรักษา…
อ้างอิง: World Health Organization , Centers for Disease Control and Prevention (CDCs ; USA) , ScienceAAA-Magazine , คณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ,
คณะแพทยศาสตรวชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช , สำนักระบาดวิทยา, กรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , wikipedia.org , siamhealth.com